เมนู

ผูกมัดสัตว์โลกไว้ มฤตยูมีถ้ำคือร่างกายเป็น
ที่อยู่อาศัย.
[782] บัณฑิตเหล่าใดผู้มีความเร่าร้อน ย่อม
ละเว้นกามคุณเหล่านี้ อันเป็นเครื่องบำรุง
ปรุงกิเลสเสียได้ในกาลทุกเมื่อ บัณฑิต
เหล่านั้นนับว่า ได้ก้าวล่วงกิเลสเครื่องข้อง
ในโลกแล้ว เหมือนกับผู้ละเว้นยาพิษที่ยักษ์
วางไว้ในหนทางใหญ่ฉะนั้น.

จบ คุมพิยชาดกที่ 6

อรรถกถาคุมพิยชาดกที่ 6


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
ภิกษุผู้กระสันจะสึก จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า
มธุวณฺณํ มธุรสํ ดังนี้.
ได้ยินว่า พระศาสดาตรัสถามภิกษุนั้นว่า ดูก่อนภิกษุ ได้ยิน
ว่าเธอกระสันจะสึกจริงหรือ ? เมื่อภิกษุนั้นกราบทูลว่า จริงพระ-
เจ้าข้า. จึงตรัสถามว่า เพราะเห็นอะไร ? เมื่อภิกษุนั้นกราบทูลว่า เพราะ
เห็นมาตุคามผู้ประดับแต่งตัว พระเจ้าข้า. จึงตรัส ว่า ดูก่อนภิกษุ ขึ้น
ชื่อว่าเบญจกามคุณเหล่านั้น เป็นเสมือนน้ำผึ้งที่ยักษ์ชื่อว่า คุมพิยะ
ตนหนึ่งใส่น้ำผึ้งวางไว้ที่หนทาง อันภิกษุนั้นทูลอาราธนาแล้ว จึงทรง

นำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนคร
พาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในสกุลสัตถวาหะคือพ่อค้าเกวียน พอ
เจริญวัย จึงเอาเกวียน 500 เล่ม บรรทุกสินค้าจากเมืองพาราณสีไป
เพื่อค้าขาย บรรลุถึงประตูดงชื่อมหาวัตตนี จึงให้พวกเกวียนประชุม
กันแล้วให้โอวาทว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ในหนทางนี้ มีใบไม้ดอกไม้
และผลไม้เป็นต้นมีพิษ ท่านทั้งหลายเมื่อจะกินอะไรที่ไม่เคยกิน ยัง
ไม่ได้ถามข้าพเจ้า อย่าเพิ่งกิน แม้พวกอมนุษย์ก็จะใส่ยาพิษวางห่อภัต
ชิ้นน้ำอ้อย และผลไม้เป็นต้นไว้ในหนทาง พวกท่านยังไม่ได้ถาม
ข้าพเจ้า จงอย่ากินห่อภัตเป็นต้นแม้เหล่านั้น ดังนี้แล้วก็เดินทางไป.
ครั้งนั้น ยักษ์ตนหนึ่งชื่อว่าคุมพิยะลาดใบไม้วางก้อนน้ำอ้อย ผสม
ยาพิษอย่างแรงไว้ในหนทาง ในที่ท่ามกลางดง ส่วนตนเองเที่ยวเคาะ
ต้นไม้ในที่ใกล้ทางทำที่หาน้ำผึ้งอยู่. พวกคนที่ไม่รู้คิดว่า เขาคงจะ
วางไว้เพื่อต้องการบุญ จึงกินเข้าไปแล้วก็ถึงแก่ความสิ้นชีวิต. พวก
อมนุษย์จึงพากันมากินคนเหล่านั้น แม้มนุษย์ชาวเกวียนของพระ-
โพธิสัตว์เห็นสิ่งของเหล่านั้น บางพวกมีสันดานละโมบ ไม่อาจอดกลั้น
ได้ก็กินเข้าไป พวกที่มีชาติกำเนิดเป็นคนฉลาดคิดว่า จักถามก่อน
แล้วจึงจะกิน จึงได้ถือเอาไปแล้วยืนอยู่. พระโพธิสัตว์เห็นชนเหล่า
นั้นแล้วจึงให้ทิ้งสิ่งของที่อยู่ในมือเสีย. คนเหล่าใดกินเข้าไปก่อนแล้ว
คนเหล่านั้นก็ตายไป คนเหล่าใดกินเข้าไปครึ่งหนึ่ง พระโพธิสัตว์จึงให้
ยาสำรอกแก่คนเหล่านั้นแล้วได้ให้รสหวานสี่อย่าง ในเวลาที่สำรอก

ออกแล้ว. ดังนั้น ชนเหล่านั้นจึงได้รอดชีวิตด้วยอานุภาพของพระ-
โพธิสัตว์นั้น พระโพธิสัตว์ไปถึงที่ที่ปรารถนาโดยปลอดภัย แล้ว
จำหน่ายสินค้า ได้กลับมายังเรือนของตนตามเดิม.
พระศาสดาเมื่อจะตรัสเนื้อความนั้น จึงได้ตรัสอภิสัมพุทธคาถา
คือคาถาที่ตรัสในเวลาที่ได้ตรัสรู้แล้วเหล่านี้ว่า :-
ยักษ์ชื่อคุมพิยะเที่ยวหาเหยื่อของตนอยู่
ด้วยวางยาพิษอันมีสี กลิ่นและรสเหมือนน้ำผึ้ง
ไว้ในป่า.
สัตว์เหล่าใด มาสำคัญว่าน้ำผึ้ง กิน
ยาพิษนั้นเข้าไป ยาพิษนั้นเป็นของร้ายแรง
แก่สัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่านั้น ต้องพากัน
เข้าถึงความตาย เพราะยาพิษนั้น.
ส่วนสัตว์เหล่าใด พิจารณาดูรู้ว่าเป็นยา
พิษแล้วละเว้นเสีย สัตว์เหล่านั้น เมื่อสัตว์
ที่บริโภคยาพิษเข้าไปกระสับกระส่ายอยู่ ถูก
ยาพิษแผดเผาอยู่ ตัวเองก็เป็นผู้มีความสุข
ดับความทุกข์ได้เสีย.
วัตถุกามทั้งหลายฝังอยู่ในมนุษย์ บัณฑิต
พึงทราบว่าเป็นยาพิษ เหมือนยาพิษอันยักษ์

วางไว้ที่หนทางฉะนั้น กามคุณนี้นับว่าเป็น
เหยื่อของสัตว์โลก และนับว่าเป็นเครื่องผูก
มัดสัตว์โลกไว้ มฤตยูมีถ้ำคือร่างกายเป็นที่
อยู่อาศัย.
บัณฑิตเหล่าใดผู้มีความร้อนใจ ย่อมละ
เว้นกามคุณเหล่านี้อันเป็นเครื่องบำรุงปรุง-
กิเลสเสียได้ในกาลทุกเมื่อ บัณฑิตเหล่านั้น
นับว่า ได้ก้าวล่วงกิเลสเครื่องข้องในโลก
แล้ว เหมือนกับผู้ละเว้นยาพิษที่ยักษ์วางไว้
ในหนทางใหญ่ฉะนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า คุมฺพิโย ได้แก่ ยักษ์ผู้ได้ชื่ออย่าง
นั้น เพราะเที่ยวไปในพุ่มไม้ในป่านั้น. บทว่า ฆาสเมสาโน ได้แก่
ผู้แสวงหาเหยื่อของตนอยู่อย่างนี้ว่า เราจักกินคนที่กินยาพิษนั้นตาย.
บทว่า โอทหี ความว่า วางยาพิษนั้นอันมีสี กลิ่น และรส เสมอด้วย
น้ำผึ้ง. บทว่า กฎุกํ อาสิ ความว่า ได้เป็นยาพิษร้ายแรง. บทว่า
มรณํ เตนุปาคมุํ ความว่า สัตว์เหล่านั้นเข้าถึงความตายเพราะยา
พิษนั้น. บทว่า อาตุเรสุ ได้แก่ ผู้จวนจะตายเพราะกำลังยาพิษ. บทว่า
ทยฺหมาเนสุ ได้แก่ ผู้อันเดชของยาพิษนั้นแหละแผดเผาอยู่. บทว่า
วิสกามา สโมหิตา ความว่า แม้ในจำพวกมนุษย์ วัตตุกาม 5 มีรูป
เป็นต้นนี้นั้นและฝัง คือ วางอยู่ในที่นั้น ๆ วัตถุกาม 5 นั้นพึง

ทราบว่าเป็นยาพิษ เหมือนยาพิษที่ยักษ์ฝัง คือวางใว้ในหนทางใหญ่
ในดงวัตตทีนั้น ฉะนั้น.บทว่า อามิสํ พนฺธนญฺเจตํ ความว่า ธรรมดา
ว่ากามคุณห้านี้ ชื่อว่าเป็นเหยื่ออันนายพรานเบ็ดคือมารใส่ล่อชาวโลก
ผู้เป็นสัตว์ที่มีอันจะต้องตายเป็นสภาวะนี้ และชื่อว่าเป็นเครื่องจองจำมี
ประการต่าง ๆ มีชื่อเป็นต้นเป็นประเภท เพราะไม่ยอมให้ออกไปจาก
ภพน้อยภพใหญ่ ด้วยประการอย่างนี้. บทว่า มจฺจุวโส คุหาสโย
ความว่า ความตายชื่อว่า มัจจุวสะ เพราะมีถ้ำคือร่างกายเป็นที่อยู่.
บทว่า เอวเมว อิเม กาเม ได้แก่ กามเหล่านั้นที่ฝั่งอยู่ในร่างกาย
นั้น ๆ เหมือนยาพิษที่ยักษ์วางไว้ในหนทางใหญ่ในดงชื่อว่าวัตตนี
ฉะนั้น. บทว่า อาตุรา ความว่า มนุษย์ผู้เป็นบัณฑิตใกล้จะตาย
ชื่อว่าผู้ร้อนใจกระสับกระส่าย เพราะมีความตายโดยแท้. บทว่า
ปริจาริเก ได้แก่ บำเรอกิเลส คือผูกมัดกิเลสไว้ บทว่า เย สทา
ปริวชฺชนฺติ
ความว่า มนุษย์ผู้เป็นบัณฑิตเหล่าใดผู้มีประการยัง
กล่าวแล้ว งดเว้นกามทั้งหลายเห็นปานนี้ ได้เป็นนิจ. บทว่า สงฺคํ
โลเก
ได้แก่ กิเลสชาตชนิดราคะเป็นต้น ซึ่งได้นามว่าเครื่องข้อง
เพราะอรรถว่าเป็นเครื่องข้องอยู่ในโลก. บทว่า อุปจฺจคา ความว่า
บัณฑิตเหล่านั้นพึงทราบว่า ชื่อว่าผู้ล่วงไปได้แล้ว อีกอย่างหนึ่ง
อธิบายว่า ย่อมก้าวล่วงไป.
พระศาสดา ครั้นทรงประกาศสัจจะแล้ว จึงทรงประชุมชาดก.
ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุผู้กระสันจะสึกดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล. พ่อค้า
เกวียนในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาคุมพิยชาดกที่ 6

7. สาลิยชาดก


ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว


[783] ผู้ใดลวงให้เราจับงูเห่าว่า นี่ลูกนก
สาลิกา ผู้นั้นตามพร่ำสอนสิ่งที่ลามก ถูกงู
นั้นกัดตายแล้ว.
[784] คนใดปรารถนาจะฆ่าบุคคลผู้ไม่ฆ่าเอง
และผู้ไม่ใช้คนอันให้ฆ่าตน คนนั้นถูกฆ่า
แล้วนอนตายอยู่ เหมือนกับบุรุษผู้ถูกงูกัด
ตายแล้วฉะนั้น.
[785] คนใดปรารถนาจะฆ่าบุคคลผู้ไม่เบียด-
เบียนตน และไม่ฆ่าตน คนนั้นถูกฆ่าแล้ว
นอนตายอยู่ เหมือนกับบุรุษถูกงูกัดตายแล้ว
ฉะนั้น.
[786] บุรุษผู้กำฝุ่นไว้ในมือ พึงซัดฝุ่นไปในที่
ทวนลม ละอองฝุ่นนั้น ย่อมหวนกลับมา
กระทบบุรุษนั้นเอง เหมือนบุรุษถูกงูกัดตาย
แล้วฉะนั้น.
[787] ผู้ใดประทุษร้ายผู้ไม่ประทุษร้ายตน เป็น
คนบริสุทธิ์ ไม่มีความผิดเลย บาปย่อมกลับ